บทความน่าอ่าน

โรคซึมเศร้า เกิดจากอะไร วิเคราะห์อาการ สาเหตุและวิธีรักษา

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า ภาษาอังกฤษ (Depression) เรามาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า กัน ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่พบบ่อยและมีความรุนแรงอย่างมาก และเกิดกับคนทุกวัย ไม่ว่ารวยหรือจน เราจะเห็นดาราที่เป็นโรคนี้ แล้วมีการฆ่าตัวตาย นับว่าเป็นโรคที่เราต้องให้ความสำคัญมากในทางการแพทย์

แต่อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะเรามีวิธีการรักษาที่ดีมาแนะนำกัน ซึ่งอาการของโรคซึมเศร้าอาจทำให้คุณรู้สึกเศร้าหรือเสียความสนใจในกิจกรรมที่คุณเคยชอบไป แต่เรายังมีโอกาสในการแก้ไขสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางอารมณ์หรือร่างกาย และไม่ต้องกังวลเรื่องความสามารถในการทำงานทั้งในที่ทำงานและบ้านของคุณเอง

โรคซึมเศร้า คืออะไร?

โรคซึมเศร้า เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่แพร่หลายกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นคนในวัยใดก็ตาม และมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นอย่างมาก ซึ่งในบทความนี้มีการเขียนแนะนำโดยนายแพทย์ เฟลิกซ์ ตอร์เรส เราจะมาสำรวจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ตั้งแต่อาการ สาเหตุ วิธีการวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเองในกรณีที่เป็นโรคซึมเศร้าว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

โรคซึมเศร้าคือ ภาวะทางจิตที่แสดงออกมาเป็นอาการอ่อนหวานและเศร้าหมอง ผู้ที่มีโรคซึมเศร้าจะรู้สึกหดหู่ เครียด ไม่สนใจเรื่องราวหรือกิจกรรมที่เคยทำในชีวิตประจำวัน ที่ทำอยู่แบบเป็นปกติ รวมถึงอาจมีอาการทางกาย และอาจจะมีอารมณ์หลายอย่างที่ผสมกัน โรคนี้สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเสื่อมลงอย่างมาก จนถึงขั้นคิดสั้นได้เลย

โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร

สาเหตุของ โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร สาเหตุของโรคซึมเศร้านั้น มีความซับซ้อนและค่อนข้างที่จะเข้าใจยาก ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่นอน และปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เนื้องอกในสมอง หรือการขาดวิตามินนั้น จะมีอาการคล้ายภาวะซึมเศร้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่แพทย์จะต้องแยกแยะสาเหตุทั่วไปให้ออก อาจมีปัจจัยหลายอย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เช่น

  1. ปัจจัยทางพันธุกรรม: การมีภาวะซึมเศร้า มีความเป็นไปได้สูง เมื่อคนในครอบครัวที่มีประวัติการเป็นโรคนี้ อาจจะทำให้คุณเป็นได้เช่นกัน
  2. ปัจจัยทางเคมีในสมอง: สารเคมีในสมองเช่น โซโตนิน ดอปามีน และไนโอไซตีน อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคซึมเศร้าได้
  3. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม: ปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด ความโดดเดี่ยว หนี้สิน ปัญหาครอบครัว และสภาพแวดล้อมสังคม อาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้

อาการของโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้ามีอาการหลายแบบที่ควรรับรู้ และเช็คตัวเองก่อน บางครั้งอาจเริ่มต้นจากอาการที่เบาๆ แต่บางครั้งก็อาจหนักมากขึ้น อาการที่พบบ่อยได้แก่

  1. อารมณ์เศร้า ผู้ป่วยรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ และไม่มีความสุข ในบางครั้งอาจไม่รู้สึกสนใจเรื่องราวหรือกิจกรรมที่เคยทำเป็นปกติ
  2. สูญเสียความสนใจและความพอใจ ความสามารถในการเพลิดเพลินและสนใจเรื่องต่างๆ ลดลง ทำให้กิจกรรมที่เคยสนุก กลายเป็นเรื่องเครียดไปเลย
  3. การรู้สึกเหมือนไม่มีค่า ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าตนไม่มีค่า ผิดหวัง ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
  4. อาการทางกาย อาจมีอาการเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ปวดเมื่อยตามตัว รู้สึกเหมือนไม่อยากทำอะไรเลย
  5. ความคิดเกี่ยวกับการตาย  ผู้ป่วยอาจมีความคิดเกี่ยวกับการตายหรือการทำร้ายตนเองสูง คนรอบข้างต้องระวังอย่างมาก
  6. นอนหลับยาก หรือบางคนอาจจะนอนมากเกินไป สำหรับบางคนช่วงเวลากลางคืนมันช่างยาวนานเหลือเกิน
  7. ไม่มีสมาธิ มีปัญหาในการคิด สมาธิสั้น หรือการตัดสินใจ

อาการท้อแท้ส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ประมาณ 1 ใน 15 คน (6.7%) ในทุกๆ ปี และหนึ่งคนจากหกคน (16.6%) จะพบว่าตนเองมีอาการท้อแท้ในช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่โดยเฉลี่ยจะเกิดครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย จนถึงช่วงกลางของทศวรรษที่ 20 สำหรับผู้หญิงจะมีแนวโน้ม ที่จะมีอาการท้อแท้มากกว่าผู้ชาย บางงานวิจัยพบว่า หนึ่งในสามของผู้หญิง พบว่าตนเองมีอาการท้อแท้ในช่วงชีวิต และมีความเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุทางพันธุกรรมในระดับสูงถึงประมาณ 40% เมื่อมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ เช่น พ่อแม่ ลูก หรือพี่น้อง ที่มีประสบการณ์ท้อแท้แบบเดียวกัน

อาการของโรคซึมเศร้า

อาการท้อแท้แตกต่างจากความเศร้าทั่วไป อย่างไร

อาการท้อแท้มีความแตกต่างจากความเศร้า หลังประสบกับเหตุการณ์สูญเสีย เช่น การสูญเสียคนที่คุณรัก การถูกเลิกจ้างงาน หรือการอกหัก การประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความยากที่จะทำใจ และเป็นสิ่งปกติที่จะรู้สึกเศร้าหรือท้อแท้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บุคคลที่ประสบความสูญเสียมักจะเรียกตัวเองว่า “ท้อแท้”

อย่างไรก็ตาม ความเศร้าไม่เหมือนกับภาวะซึมเศร้า ความท้อแท้นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละบุคคลที่ และมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกันของภาวะซึมเศร้า ทั้งความท้อแท้และความหดหู่อาจเกี่ยวข้องกับความเศร้าอย่างรุนแรงและไม่อยากทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้

1. ความท้อแท้ ความเจ็บปวดมักคู่กับความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับคนที่เสียชีวิตไป ในภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกและ/หรือความสุขจะลดลงเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์
2. ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง ในความท้อแท้ มักยังคงอยู่ ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง และความเกลียดชังต่อตนเองเป็นเรื่องปกติ
3. ภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง ความคิดเกี่ยวกับการจบชีวิต การฆ่าตัวตาย ในความท้อแท้ ความคิดเกี่ยวกับความตายอาจเกิดขึ้นเมื่อคิดถึงหรือฝันว่าจะไป “ร่วม” กับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
4. ความท้อแท้และภาวะซึมเศร้า สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ สำหรับบางคน เช่น การสูญเสียคนที่คุณรัก ถูกไล่ออกจากงาน หรือประสบเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความหดหู่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะซึมเศร้า และความท้อแท้ ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้

การวินิจฉัยและการรักษาโรคซึมเศร้า

การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า แบบทดสอบเป็นการประเมินอาการทางจิต และวินิจฉัยโดยแพทย์หรือนักจิตวิทยา การรักษาส่วนใหญ่เน้นการรักษาทางจิตวิทยา การได้รับความเอาใจใส่จากครอบครัว และการแนะนำให้ผู้ป่วยเรียนรู้การจัดการกับอารมณ์และความเครียดของตนเอง

ก่อนการวินิจฉัยหรือรักษา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพควรทำการประเมินอย่างละเอียด เพื่อทำการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำมากที่สุด กระบวนการนี้รวมถึงการสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย ในบางกรณี อาจมีการตรวจเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าภาวะซึมเศร้าไม่ได้เกิดขึ้นจากสภาวะทางการแพทย์ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์หรือขาดวิตามิน การประเมินนี้เพื่อเป็นการระบุอาการและสำรวจประวัติทางการแพทย์และครอบครัวของผู้ป่วย รวมถึงปัจจัยทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

โรคซึมเศร้า วิธีรักษาด้วยยา

สารเคมีในสมองอาจมีผลต่อภาวะซึมเศร้า การใช้ยาอาจจะช่วยให้มีการตอบสนองกับการรักษา ด้วยเหตุนี้ อาจมีการสั่งยาต้านโรคซึมเศร้าอาการต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมอง ยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาระงับหรือยากล่อมประสาท และไม่เพิ่มภาวะโรคซึมเศร้า ในบุคคลที่ไม่มีอาการทางจิตเวช

ยาต้านอาการซึมเศร้า อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาการภายในช่วงสัปดาห์แรก หรือสองครั้งของการใช้ แต่ในบางครั้งอาจจะไม่มีประโยชน์เต็มที่ จนผ่านไปเป็นเวลาสองถึงสามเดือน หากผู้ป่วยไม่รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังจากการใช้เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ แพทย์จิตเวชหรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต สามารถปรับเปลี่ยนปริมาณยาหรือ เพิ่มยาต้านอาการซึมเศร้าอื่นได้ ในบางราย อาจจะใช้ยาจิตเวชอื่น ๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคือต้องแจ้งให้แพทย์ทราบหากยาไม่ได้ผลหรือมีผลข้างเคียง

จิตบำบัด

จิตบำบัดหรือ “การพูดคุยบำบัด” การให้คำปรึกษา เป็นวิธีแบบธรรมชาติ ที่ถ่ายถอดโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่สำหรับภาวะซึมเศร้าระดับปานกลางถึงรุนแรง จิตบำบัดมักใช้ร่วมกับยาต้านอาการซึมเศร้า กระบวนการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (CBT) พบว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะซึมเศร้า

โดย CBT เน้นการเปลี่ยนแปลงความคิดที่ผิดเพี้ยนเป็นบวก โดยการเรียนรู้จากปัญหาในปัจจุบัน เป้าหมายที่เป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายในทางบวก

จิตบำบัด อาจจะใช้บุคคลเดี่ยวหรือการรวมกลุ่มคน ที่มีอาการแบบเดียวกัน มารวมตัวกันเพื่อพูดคุย นอกจากนี้ยังมีการบำบัดแบบครอบครัวหรือคู่รัก ซึ่งช่วยในการแก้ไขปัญหาภายในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เช่น การบำบัดแบบกลุ่ม ผู้ที่มีอาการคล้ายโรคซึมเศร้าจะมารวมกัน รับการสนับสนุนในสภาพแวดล้อมที่เชื่อมโยงกัน และสามารถเรียนรู้วิธีการจัดการกับสถานการณ์ที่คล้ายกันได้

การรักษาด้วยไฟฟ้า (ECT)

ECT เป็นการรักษาทางการแพทย์ที่มักใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ นี้เป็นกระบวนการกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้าสั้น ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการรักษา ECT สองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 ถึง 12 ครั้ง การบำรุงรักษาจะถูกดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรม ทั้งจิตแพทย์ วิสัญญีแพทย์ และพยาบาลหรือผู้ช่วยแพทย์ ECT มีการใช้ ตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ประโยชน์ของมันได้มีการพัฒนาขึ้นในอดีตและปัจจุบัน การใช้ ECT มักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการรักษาอื่น ๆ ล้มเหลว หากมีความรุนแรงของอาการ จำเป็นต้องดำเนินการรักษาทันที

การรักษาโรคซึมเศร้า

วิธีการดูแลตนเอง

การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพจิตของคนที่มีโรคซึมเศร้า นอกจากการได้รับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังควรมีการดูแลร่างกายและจิตใจตนเองอย่างเหมาะสม รวมถึงการดูแลในเรื่องของการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่เหมาะสม มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยได้ดี

การดูแลสุขภาพจิตและการช่วยเรื่องภาวะซึมเศร้ามีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงสภาวะทางจิตของคุณเอง ซึ่งเราขอแนะนำเพิ่มเติม ที่อาจช่วยในการดูแลจิตใจและลดอาการซึมเศร้าของคุณได้ ไม่มากก็น้อย

  1. ทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ อาจจะชวนเพื่อนไปทำกิจกรรมที่คุณรักและชื่นชอบ เช่น เล่นดนตรี การวาดรูป การเล่นกีฬา หรือการอ่านหนังสือ เป็นต้น การทำกิจกรรมที่ทำให้คุณรู้สึกดี จะเป็นการช่วยเพิ่มความสุขและลดความเครียดได้
  2. การฝึกสมาธิและโยคะ เพื่อสร้างความผ่อนคลาย ช่วยในการจัดการกับความคิดและอารมณ์ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับความเครียดได้ดีอีกด้วย ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ถ้าหากเรานำไปปฏิบัติจริง
  3. ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น ช่วยในการรับรู้ความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ความเหงาจะลดลง เมื่อคุณมีคนที่คุณพูดคุยและแบ่งปันความรู้สึกให้กับคนอื่นได้ แต่ต้องคบคนที่มีทัศนคติในเชิงบวกด้วย เขาจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีได้
  4. เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด เหมือนกับหลักธรรม อริยะสัจ 4 การรู้ว่าตนเองทุกข์เรื่องอะไร และเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหา อย่างมีสติ การเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การหายใจลึกๆ การนั่งเงียบ หรือการพักผ่อน ช่วยในการควบคุมอารมณ์
  5. เปลี่ยนแปลงความคิดเชิงลบ: พยายามเปลี่ยนแปลงแนวคิดเชิงลบ ให้เป็นเชิงบวก โดยการใช้เหตุผลที่สามารถรับรู้ได้ และการใช้แง่มุมที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
  6. ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต: การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพสมองและร่างกาย และพยายามหลีกเลี่ยงการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูง ครอบครัวสำคัญมาก ต้องมีการพูดคุยเรื่องความรู้สึก และประสบการณ์กับครอบครัว แชร์เรื่องราวให้กับเพื่อนฝูง เพื่อให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว
  8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์ หากคุณรับรู้อาการซึมเศร้าหรือความไม่สบายในระดับที่รุนแรง ควรพิจารณาการขอความช่วยเหลือจากผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ จิตวิทยาคลินิก หรือนักจิตวิทยา เป็นต้น

การดูแลสุขภาพจิต เป็นสิ่งสำคัญที่ควรให้ความสำคัญ หากคุณรู้สึกมีอาการซึมเศร้า และแสดงออกเป็นขั้นแรก ให้ทำการดูแลและป้องกันการเจ็บป่วยทางจิต แบบรุนแรงยิ่งขึ้น การสนับสนุนและการรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณ ได้รับการดูแลที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

สรุป

โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่มีผลกระทบให้กับคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของผู้ป่วยแย่ลงมาก มีสาเหตุจากปัจจัยหลายอย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และอาจแสดงอาการที่หลากหลาย การรักษาโรคซึมเศร้ามักเน้นที่การให้การสนับสนุนทางจิตวิทยา และการดูแลตนเองเพื่อสร้างสภาวะที่มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นในระยะยาว